• Welcome to ลงประกาศฟรี โพสฟรี โปรโมทเว็บไซต์ให้ติดอันดับ SEO ด้วย PBN.
 

poker online

ปูนปั้น

Menu

Show posts

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.

Show posts Menu

Messages - Sirintha

#1
เที่ยวเยอรมันเดือนธันวาคม เดือนธันวาคมในประเทศเยอรมัน มักเต็มไปด้วยบรรยากาศของเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งทั้งเมืองจะถูกประดับไปด้วยแสงไฟ เสียงเพลง ของตกแต่งที่น่ารักน่าเอ็นดู และกลิ่นหอมของของหวานที่อบอวลไปทั่วท้องถนนหนทาง ทำให้การเที่ยวในช่วงนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ความหนาวเย็น แต่ยังเต็มไปด้วยความอบอุ่นหัวใจจากเทศกาลคริสต์มาส ยิ่งไปกว่านี้ยังมีตลาดคริสต์มาส (Christmas Market) ที่จัดขึ้นดูเหมือนจะทุกเมือง ซึ่งเป็นไฮไลท์สำคัญที่ทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นต่างก็เฝ้ารอ เนื่องจากว่าเต็มไปด้วย ของขวัญ อาหารประจำถิ่น และการแสดงต่างๆที่สร้างสีสันให้ตลอดทั้งวัน

การเที่ยวเยอรมันเดือนธันวาคม จึงนับเป็นอะไรที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุว่าประเทศเยอรมันนับว่าเป็นแหล่งกำเนิดของตลาดคริสต์มาสที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 และยังคงรักษาบรรยากาศดั้งจมูกเดิมไว้เป็นอย่างดี การได้เดินเที่ยวตลาดตามจัตุรัสเมืองต่างๆจึงไม่ใช่เพียงแค่การช้อปปิ้ง และเดินเล่นทั่วๆไปเท่านั้น แต่มันคือการได้ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมท้องถิ่นแบบแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเมืองใหญ่หรือเมืองเล็ก การได้สัมผัสอากาศหนาว พร้อมชมแสงไฟในช่วงคริสต์มาส จะก่อให้คุณรู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในฉากของหนักเทศกาลสุดคลาสสิกอย่างแน่นอน



เที่ยวเยอรมันช่วงธันวาคม: ตลาดคริสต์มาสเมืองไหนน่าสนใจ?

การได้ไปท่องเที่ยวเยอรมันเดือนธันวาคม คือการท่องเที่ยวในฤดูกาลแห่งความสุข เพราะว่าเป็นเวลาของตลาดคริสต์มาส (Christmas Market) ที่จัดขึ้นทั่วประเทศ โดยจะเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงคริสต์มาสอีฟ (24 ธันวาคม) หรือบางเมืองอาจวัดสม่ำเสมอยาวจนถึงสิ้นปี ซึ่งเทศกาลนี้นับว่าเป็นไฮไลต์สำคัญที่พลาดไม่ได้ หากได้มาเที่ยวเยอรมันช่วงเดือนธันวาคม เนื่องจากคุณจะได้รับบรรยากาศโรแมนติกแบบยุโรปแท้ๆซึ่งในแต่ละเมืองก็จะมีเอกลักษณ์ในเทศกาลคริสต์มาสในแบบของตน โดยเหตุนี้มาลองดูกันว่ามีเมืองไหนที่น่าสนใจให้คุณไปเที่ยวเล่นแบบเต็มที่ในช่วงคริสต์มาสกันบ้าง

เบอร์ลิน - ตลาดคริสต์มาสสุดคลาสสิกที่เกนดาร์เมนมาร์ค ที่เต็มไปด้วยบูธขายสินค้าประจำถิ่น งานหัตถกรรมที่น่าสนใจ และเหล้าองุ่นร้อนให้จิบแก้หนาว และยังมีการแสดงสดในบรรยากาศของจัตุรัสที่สวยที่สุดในเมืองให้ดูได้เรื่อยๆ

มิวนิค - ตลาดคริสต์มาสหลักจะจัดอยู่ที่จัตุรัสพระแม่มารี ซึ่งจัดให้อย่างยิ่งใหญ่ในธีมคริสต์มาสสุดอบอุ่น มีของกินให้เลือกหลากหลาย ของฝากที่น่าสนใจให้ซื้อติดมือกลับบ้าน และการแสดงพื้นบ้านแบบสนิทสนมให้เพลิดเพลินใจได้ตลอดทั้งวัน

โคโลญ - ตลาดหน้าโบสถ์โคโลญ (Kölner Dom) และยังเป็นหนึ่งในตลาดที่โด่งดังที่สุด โดยมีธีมการตกแต่งอย่างอลังการพร้อมต้นคริสต์มาสขนาดยักษ์ พร้อมรายล้อมไปด้วยบูธผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและอาหารอร่อยอีกมากมาย

เดรสเดน - ถ้าหากคุณต้องการสัมผัสตลาดคริสต์มาสแบบดั้งเดิม ต้องที่ Striezelmarkt แห่งเดรสเดน ด้วยเหตุว่าทีนี่เป็นตลาดเก่าแก่ที่สุดในเยอรมัน มีทั้งเวทีการแสดง กระเช้าสวรรค์สุดคลาสสิก และของหวานอบสูตรโบราณให้ลองลอง

แฟรงก์เฟิร์ต - ตลาดที่ Römerberg ใจกลางเมืองเก่า ตกแต่งเหมือนตำนานเทพนิยาย เต็มไปด้วยของหวานอบพื้นบ้านจากธัญพืช ผลิตภัณฑ์ทำมือที่น่าสะสม และบรรยากาศสุดอบอุ่นท่ามกลางอาคารโบราณสุดคลาสสิก ที่ทำให้คุณเดินเล่นชิลได้แบบเต็มที่

เที่ยวยุโรปหน้าหนาว ไปเที่ยวเยอรมันเดือนธันวาคม กับที่เที่ยวต้องห้ามพลาด

นอกเหนือจากบรรยากาศช่วงงานคริสต์มาสแล้ว ช่วงฤดูหนาวเองก็ยังมีที่เที่ยวเยอรมันเดือนธันวาคมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมให้เล่นอย่างการเล่นสกี หรือการเดินชมเที่ยวธรรมชาติสุดสวยงามในหน้าหนาว โดยมีที่เที่ยวน่าสนใจดังต่อไปนี้

ยอดเขาซุกสปิตเซ่ (Zugspitze) - ยอดเขาที่สูงที่สุดในเยอรมัน ตั้งอยู่ที่เมืองการ์มิช - พาร์เท่นเคียร์ดังเช่น มีความมากถึง 2,962 เมตร และเป็นจุดเล่นสกียอดนิยมอีกด้วย โดยบนยอดเขาคุณสามารถแลเห็นทิวทัศน์ธรรมชาติได้ไกลถึง 4 ประเทศ ได้แก่ เยอรมนี ออสเตรีย ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และอิตาลี โดยมีหิมะที่ปกคลุมตลอดปีที่ช่วยเพิ่มเสน่ห์ในฤดูหนาวขึ้นไปอีก

ป่าดำ (Black Forest) - ป่าสนหนาแน่นที่เอนตัวยาวตั้งในรัฐบาเดิน - เวอร์ทเทมแบร์ก ทางตะวันตกเฉใต้ของเยอรมัน เป็นหนึ่งในสถานที่เดินป่าที่น่าสนใจ เนื่องจากว่าเมืองมองจากมุมสูงจะมองเห็นเป็นป่าสีดำทึบ ที่เชิญให้ทราบสึกลึกลับและมีเสน่ห์ บวกกับในฤดูหนาวที่ป่าถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวมาก ช่วยสร้างบรรยากาศที่งดงามและแตกไม่เหมือนกับช่วงอื่นของปี

ปราสาทนอยชวานชไตน์ (Neuschwanstein Castle) - ปราสาทบนผาท่ามกลางขุนเขา ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจให้กับปราสาทดิสนีย์ ปราสาทแห่งนี้สวยงามตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่สีสันติดกับตัวปราสาท หรือช่วงหน้าหนาวที่ถูกแต่งเติมด้วยหิมะขาวทั่วพื้นที่ เพิ่มความโรแมนติกและเสน่ห์ให้คุณได้เหมือนหลุดเข้าไปในเทพนิยายเลยทีเดียว

หุบเขาพาร์ทนัค (Partnach Gorge) - หุบเขาธรรมชาติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยามานานนับล้านปี มีความยาวประมาณ 702 เมตร และลึกลงไปกว่า 80 เมตร ตรงกลางมีลำธารไหลผ่านซึ่งจะกลายเป็นน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาว ติดกับหิมะที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ทำให้กลายเป็นทิศน์ธรรมชาติที่งดงามและน่าประทับใจ

บทสรุป

การได้เปิดโลกยุโรป และเที่ยวเยอรมันในช่วงเดือนธันวาคม เปรียบการเดินเข้าไปในโลกแห่งเทพนิยาย ไม่ว่าจะเป็นตลาดคริสต์มาสที่เต็มไปด้วยแสงไฟ สีสันมากมายของเทศกาลสุดขึ้นชื่อ หรือจะไปเดินเล่นธรรมชาติและสถานที่ท่องเที่ยวท่ามกลางหิมะสีขาวแสนบริสุทธิ์ ทุกอย่างล้วนมีเสน่ห์ที่น่าจดจำ ถ้าเกิดถูกใจบรรยากาศสุดโรแมนติกและอบอุ่นหัวใจ การได้เที่ยวเยอรมันในเดือนธันวาคมจะเป็นอะไรที่ตอบปัญหา และไม่ทำให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน
#2
จมูกอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเลียนแบบการรับกลิ่นของมนุษย์ แต่แทนที่จะใช้เซลล์ประสาทรับกลิ่นแบบธรรมชาติ มันใช้ เซนเซอร์พิเศษ ตรวจค้นโมเลกุลของกลิ่นในอากาศ แล้วแปลงข้อมูลเป็นสัญญาณดิจิทัลให้ระบบ AI วิเคราะห์ เทคโนโลยีนี้แม่นยำและเร็วอย่างไม่น่าไว้วางใจ มันสามารถจัดประเภทกลิ่นได้ละเอียดกว่าจมูกมนุษย์ ตรวจค้นกลิ่นที่พวกเราอาจไม่รู้สึกได้ และยังไม่ล้าเหมือนเวลาที่คนพวกเรา สูดดมอะไรนานๆ

ตอนนี้ E-nose กำลังถูกใช้ประโยชน์ในหลากหลายวงการ ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม มันช่วยตรวจสอบคุณภาพของเหล้าองุ่น กาแฟ หรือถึงแม้แต่สูดดมกลิ่นเนื้อสัตว์ว่ายังสดอยู่ไหม ในวงการหมอ มันถูกใช้ในการดมกลิ่นลมหายใจเพื่อตรวจค้นโรคบางชนิด ดังเช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน หรือโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ด้านสิ่งแวดล้อม มันสามารถตรวจหามลภาวะหรือก๊าสอันตรายในอากาศได้แบบเรียลไทม์ และที่เจ๋งกว่านั้นคือ ในงานด้านความปลอดภัย ก็ยังสามารถตรวจหาวัตถุระเบิด ยาเสพติด หรือสารเคมีอันตรายได้อย่างแม่นยำ

สิ่งที่ทำให้เทคโนโลยีนี้น่าตื่นตาตื่นใจเพิ่มขึ้นคือการนำ AI, IoT และ Big Data มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มันเฉลี่ยวฉลาดขึ้นไปอีก เดี๋ยวนี้นักวิจัยกำลังพัฒนาให้ E-nose มีขนาดเล็กลงจนถึงสามารถใช้งานบนสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์พกพาได้ ถ้าหากวันหนึ่งพวกเราสามารถใช้มือถือเพื่อตรวจสอบคุณภาพอาหาร หรือหากแม้แต่เช็กว่าสุขภาพพวกเราปกติดีไหมจากลมหายใจ จนกระทั่งเรียกได้ว่าเทคโนโลยีนี้กำลังจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน กันเลยทีเดียว



จมูกอิเล็กทรอนิกส์และการวิเคราะห์สารระเหย: กลไกและนวัตกรรม

จมูกอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Nose หรือ E-nose) เป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อเลียนแบบกระบวนการรับทราบกลิ่นของมนุษย์ แต่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์และสติปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์องค์ประกอบของกลิ่นแทนประสาทสัมผัสของมนุษย์ โดยระบบนี้ทำงานผ่าน เซนเซอร์ตรวจหาสารระเหย (Gas Sensors) ซึ่งสามารถแยกแยะโมเลกุลของก๊าซที่ลอยอยู่ในอากาศ จากนั้นเซนเซอร์จะเปลี่ยนสัญญาณเคมีพวกนั้นเป็นข้อมูลทางกระแสไฟฟ้า และส่งไปยัง ระบบประมวลผลกลาง (Data Processing Unit) เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ สติปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอัลกอริธึม Machine Learning

สิ่งที่ทำให้ E-nose แตกไม่เหมือนกับการดมกลิ่นของมนุษย์คือความสามารถในการตรวจค้นสารที่สลับซับซ้อนหากแม้ในระดับโมเลกุลที่ต่ำมาก และยังสามารถแยกแยะสารเคมีที่เหมือนคลึงกันได้แม่นยำกว่า โดยกระบวนการทำงานเริ่มจากการที่อากาศถูกดูดเข้าไปในอุปกรณ์ ก่อนที่สารระเหยจะสัมผัสกับเซนเซอร์ที่ถูกออกแบบให้ไวต่อสารเคมีเฉพาะชนิด เมื่อเกิดปฏิกิริยาทางกระแสไฟฟ้า ระบบจะทำการวิเคราะห์ ลายพิมพ์นิ้วมือทางเคมี (Chemical Fingerprint) ของกลิ่นนั้นๆและนำไปเปรียบเทียบเทียบกับฐานข้อมูลที่มีอยู่

ซึ่งมีการพัฒนาและขยายอย่างสม่ำเสมอผ่านการศึกษาของ AI จะก่อให้เทคโนโลยีนี้สามารถแยกแยะความแตกต่างของกลิ่นได้ หากแม้เป็นกลิ่นที่มนุษย์รับทราบได้ยาก อย่างเช่น การตรวจหาสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ในสิ่งแวดล้อม หรือตรวจค้นกลิ่นที่เกี่ยวข้องกับโรคบางชนิดในลมหายใจของมนุษย์ E-nose ถูกเอาไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆไม่ว่าจะเป็นการควบคุมคุณภาพอาหาร การวิเคราะห์ระดับความสดใหม่ของเนื้อสัตว์ การตรวจหาก๊าซพิษในอุตสาหกรรมเคมี หรือหากแม้กระทั่งใช้ในงานด้านความมั่นคงเพื่อตรวจค้นวัตถุระเบิดและสารเสพติด

อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับ Internet แบบเรียลไทม์เพื่อทำให้การเฝ้าระวังกลิ่นเป็นไปได้แบบเรียลไทม์ ยิ่งกว่านั้น เทคโนโลยีนี้ยังถูกพัฒนาให้มีขนาดเล็กลงและสามารถติดตั้งในอุปกรณ์พกพา ซึ่งหมายความว่าในอนาคตพวกเราอาจสามารถใช้สมาร์ทโฟนเพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศ หรือถึงแม้กระทั่งวิเคราะห์สุขภาพของตนผ่านกลิ่นลมหายใจได้ เทคโนโลยี E-nose ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือที่ใช้ในห้องปฏิบัติการเท่านั้น แต่กำลังกลายเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของพวกเรามากขึ้น และอาจปฏิวัติวิธีที่มนุษย์รับทราบและวิเคราะห์กลิ่นไปตลอดกาล

แนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีจมูกอิเล็กทรอนิกส์ตอบโจทย์ความท้าทาย

ถึง จมูกอิเล็กทรอนิกส์ จะถูกพัฒนาให้สามารถตรวจหาและวิเคราะห์กลิ่นได้อย่างละเอียด แต่เทคโนโลยีนี้ยังคงพบเจอกับอุปสรรคหลายด้านที่ต้องได้รับการปรับแก้เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด หนึ่งในความท้าทายหลักคือ การแบ่งประเภทและชนิดกลิ่นที่คล้ายกันอย่างละเอียด
เนื่องจากองค์ประกอบของสารระเหยในอากาศมีความสลับซับซ้อนสูง และกลิ่นที่มนุษย์มีความคิดว่าแตกแตกต่างกัน บางครั้งอาจมีโครงสร้างทางเคมีที่ใกล้เคียงกันมากจนถึงทำให้เซนเซอร์ตรวจค้นผิดพลาดได้ นอกนั้น สภาพแวดล้อมที่ปรวนแปร ตัวอย่างเช่น อุณหภูมิ ความเปียกชื้น และมลพิษในอากาศ ยังมีผลต่อความแม่นยำของระบบ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่ต้องวิเคราะห์กลิ่นที่มีปริมาณน้อยมาก ความไม่แน่นอนนี้ทำให้การนำเทคโนโลยีไปใช้งานในอุตสาหกรรมบางประเภท อย่างเช่น การตรวจค้นโรคจากลมหายใจ หรือการตรวจสอบสารแปดเปื้อนในอาหาร ยังคงต้องมีการแก้ไขให้สามารถใช้งานได้จริงอย่างแม่นยำ
อีกปัจจัยสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขคือ ความเสถียรของเซนเซอร์ในระยะยาว ตอนนี้อุปกรณ์ตรวจกลิ่นมักมีปัญหาด้านอายุการใช้งานที่สั้น เพราะเหตุว่าเซนเซอร์มีลักษณะท่าทางที่จะเสื่อมสภาพเมื่อใช้งานไปนานๆหรือสัมผัสกับสารระเหยบางประเภทบ่อยๆทำให้ต้องมีการเปลี่ยนเซนเซอร์บ่อยมากซึ่งเพิ่มเงินลงทุนการใช้งาน

อีกทั้ง ขนาดของอุปกรณ์ที่ยังค่อนข้างใหญ่และทุนการผลิตที่สูง ทำให้ยังไม่สามารถเข้าถึงตลาดผู้บริโภคทั่วๆไปได้อย่างแพร่หลาย
นอกจากนั้น การพัฒนา อุปกรณ์ตรวจกลิ่นแบบพกพา ที่มีขนาดเล็กลงและสามารถใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน ดังเช่นว่า อุปกรณ์ตรวจสอบคุณภาพอาหารแบบพกพา หรือเครื่องมือช่วยตรวจหามลภาวะในอากาศสำหรับใช้ภายในบ้าน กำลังเป็นทิศทางที่ได้รับการำไพจัยอย่างเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งในอนาคตอาจนำไปสู่การสร้าง ระบบวิเคราะห์กลิ่นในอุปกรณ์ใส่ (Wearable Smell Detection Systems) ที่สามารถแจ้งเตือนภาวการณ์อันตรายจากสารเคมี หรือหากแม้แต่ช่วยทำให้ผู้ที่มีความผิดปกติในการรับกลิ่นสามารถรับทราบกลิ่นได้ผ่านระบบดิจิทัล เมื่อเทคโนโลยีพวกนี้พัฒนาไปจนถึงจุดที่สามารถเข้าถึงผู้คนได้อย่างกลมกลืน พวกเราอาจได้มองเห็นโลกที่ "กลิ่น" ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่มนุษย์รับทราบด้วยจมูกอีกต่อไป แต่เป็นข้อมูลที่สามารถนำมาวิเคราะห์ คาดการณ์ และสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจและวิทยาศาสตร์ได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว